วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เหล้าที่เอามาทำยา

เหล้าแต่ละชนิดพร้อมประวัติ

ตากีลา (Tequila) 
ตา กีลาเป็นเหล้าสีขาว กลิ่นแรง หมักจากพืชที่เรียกว่า Mezcal ผลิตในประเทศเม็กซิโก ปกติตากีลาจะมีสีขาว แต่บางชนิดมีสีเหลืองทองจากการเก็บบ่มในถังไม้ 
ปกติ ชาวพื้นเมืองเม็กซิโก นิยมดื่มเหล้าตากีลาโดยไม่ผสม หากแต่ก่อนดื่มจะหยิบเกลือใส่ปาก บีบมะนาวตาม แล้วจึงยกเหล้าขึ้นดื่ม เพื่อให้รสชาติของเหล้าคลุกเคล้ากับเกลือและมะนาวในปาก ในปัจจุบันนิยมนำตากีลามาทำเป็นเครื่องดื่มผสม เช่น Tequila Sunrise, Margarita เป็นต้น 
เหล้าตากีลาที่รู้จักกันดีในประเทศไทย El-Toro, Cuervo, Sauza 

วอดก้า (Vodka) 
วอด ก้าเป็นเหล้าสีขาวใส มีกลิ่นเพียงเล็กน้อยจนแทบไม่รู้สึก ดีกรี 40o - 50o ต้นกำเนิดอยู่ในรัสเซียและโปแลนด์ สมัยก่อนไม่เป็นที่รู้จัก แต่ในปัจจุบันเป็นเหล้าที่นิยมกันมาก เป็นเหล้าที่หมักจากข้าวหรือมันฝรั่งผ่านการกรองและดูดกลิ่นจนเหลือสีเจือปน และกลิ่นน้อยที่สุด วอดก้าของรัสเซียหรือโปแลนด์บางชนิดนิยมแช่สมุนไพร หรือเครื่องเทศเพื่อให้เป็นเหล้ายา แต่ไม่ค่อยพบในท้องตลาดบ้านเรา 
คำ โฆษณาที่ว่า "It will leave you breathless" คือเมื่อดื่มวอดก้าแล้วจะไม่มีกลิ่นติดค้างเมื่อหายใจ เครื่องผสมวอดก้าที่เป็นที่รู้จักกันดี คือ Screw Driver, Bloody mary, Vodka Martini, Salty Dog's เป็นต้น 
ส่วนเหล้าวอดก้าที่รู้จักกันดีในประเทศไทย คือ Borzoi, Smirnoff, Stolighinaya 

จิน (Gin) 
จิ น เป็นเหล้าสีขาว ที่มีกลิ่นหอมของผลจูนิเปอร์ ทำมาจากการกลั่นข้าวและผสมกลิ่นรสชาติของสมุนไพร และผลจูนิเปอร์ เป็นที่นิยมกันมากในฮอลันดา สมัยก่อนจึงเรียกจินว่า "Dutch Courage" และได้รับการเปลี่ยนชื่อให้เรียกสั้น ๆ ว่า Gin 
ปัจจุบันผลิตกันในหลาย ๆ ประเทศ กลิ่นและรสชาติก็แตกต่างกันไป เพราะมีการเปลี่ยนแปลงทั้งวิธีการผลิตและส่วนผสม 
- จินที่ผลิตจากประเทศฮอลันดา รสจะเข้มข้นมาก นิยมดื่มโดยไม่ผสม แต่ควรแช่ให้เย็นจัด 
- จินจากอังกฤษและอเมริกา นิยมดื่มเป็นเครื่องดื่มผสม ที่รู้จักกันแพร่หลาย เช่น Gin Tonic, Orange Blossom, Tom Collins, Martini 
จินที่รู้จักกันดีในประเทศไทย เช่น Beefeater, Gordon และ Gilbey's ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้คำว่า London Dry Gin 
แอพเพอริทิฟ (Aperitif) 
แอ พเพอริทิฟ คือเหล้าที่นิยมดื่มก่อนอาหาร เป็นเครื่องดื่มเก่าแก่ จัดอยู่ในประเภทเหล้ายา นิยมมากในประเทศฝรั่งเศส อิตาลี ทำจากเหล้า เหล้าองุ่น สมุนไพร และเครื่องเทศ แบ่งเป็น 3 ชนิด 
1. เวอร์มุธ (Vermouth) เป็นเหล้ายาทำจากรากไม้ รากยาและเครื่องเทศ มีกลิ่นและรสชาติแตกต่างกันออกไป รสชาติของเหล้าเวอร์มุธคล้ายกับยาบำรุงเลือดลมของไทยมีหลายยี่ห้อ เช่น Martini, Cinzano, Barbero, Dubonet, Pimm's No.1 เป็นต้น 
2. บิตเตอร์ (Bitter) เป็นเหล้าที่มีรสขม นิยมดื่มแก้โรคกระเพาะ และช่วยย่อยอาหาร บางชนิดขมมาก บางชนิดขมอมหวาน เช่น Campari, Fernet Branca, Branca Menta, Angostura Bitter 
3. อนิซ (Anis) เป็นเหล้ายาสีเหลืองใสทำจากเมล็ดของ Anis กลิ่นหอมเย็น ๆ นิยมดื่มแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ เช่น Pernod, Ricard, Pastis 
เหล้าแอพเพอริทิฟ นอกจากนิยมดื่มเพื่อเป็นยาแล้ว ยังนิยมนำไปทำเครื่องดื่มผสมอื่น ๆ อีกมากมาย 


บรั่นดี (Brandy) 
บรั่นดี เป็นเหล้าที่นิยมกันมาก ได้จากการหมักองุ่นให้เป็นไวน์ (Wine) แล้วจึงนำมากลั่นเป็นบรั่นดี จากนั้นนำไปเก็บบ่มให้ได้ สี กลิ่น รส ที่ดี บรั่นดีที่มีขายตามท้องตลาดทั่ว ๆ ไป แบ่งเป็น 3 ประเภท 
1. บรั่นดีพื้นเมือง (Domestic Brandy) คือบรั่นดีที่ผลิตจากองุ่นแล้วนำมากลั่นเป็นบรั่นดีอีกที เช่น Regency Brandy, German Brandy 
2. บรั่นดีตามมาตรฐาน ((Regular Brandy) ส่วนใหญ่เป็นบรั่นดีที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ 
3. บรั่นดีเกรดสูง (Premium Brandy) เป็นบรั่นดีราคาแพงที่เก็บบ่มไว้ในถังไม้โอ๊กนาน โดยระบุคุณภาพเป็นอักษรย่อ หรือชื่อพิเศษ เช่น คอนยัค (Cognac) อาร์มายัค (Armagnac) 
บรั่นดีผลไม้ (Fruit Brandy) 
บรั่นดีผลไม้ คือบรั่นดีที่ทำจากผลไม้อื่น ๆ ที่ไม่ใช่ผลองุ่น ซึ่งจะให้กลิ่นรสแตกต่างกันไป แบ่งเป็น 2 ชนิด 
1. บรั่นดีผลไม้สีขาว (White Fruit Brandy) ผลิตจากการกลั่นผลไม้ โดยไม่ต้องบ่มในถังไม้ จะได้กลิ่นหอม และรสของผลไม้นั้น ๆ นิยมแช่ให้เย็นแล้วดื่มโดยไม่ผสม หรือจะนำไปผสมในค็อกเทลต่าง ๆ ก็ได้ 
2. บรั่นดีผลไม้ที่มีสี (Colour Fruit Brandy) ผลิตจากการกลั่นผลไม้ แล้วนำไปเก็บบ่มในถังไม้โอ๊ก ผลไม้ที่นำมากลั่น เช่น 

แอบเปิ้ล เรียกว่า Apple Brandy, Calvados, Apple Jack 
เชอร์รี่ " Kirschwasser, Kirsch 
พลัม " Slivovits, Prunelle, Quetsch 
แพร์ " Poire William 
ราสเบอร์รี่ " Flamboise 

นอกจากนี้ยังสามารถทำจากผลไม้อื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งอาจเรียกบรั่นดีผลไม้ประเภทนี้ว่า "Eau-devie" 
เหล้าหวาน (Liqueur or Cordial) 
Liqueur และ Cordial มีความหมายคล้ายกัน ส่วนใหญ่คำว่า Liqueur มักจะหมายถึงเหล้าหวานของประเทศแถบยุโรป ส่วน Cordial หมายถึงเหล้าหวานของประเทศสหรัฐอเมริกา 
เหล้า หวาน เป็นการผสมสุราชนิดใดก็ได้กับความหวาน และเพิ่มสี กลิ่น และรสลงไปด้วย โดยจะใช้ สี กลิ่น รสของผลไม้ สมุนไพร เครื่องเทศ หรือแม้แต่ส่วนหนึ่งส่วนใดของผลไม้ก็ได้ จะเห็นว่าเหล้าหวานมีสีต่าง ๆ มากมาย อาจดื่มเปล่า ๆ ผสมน้ำแข็ง ผสมค็อกเทลให้มีสีสวยงาม 
วิสกี้ (Whisky) 
วิสกี้ คือสุรากลั่นที่ทำจากข้าวชนิดใดชนิดหนึ่ง หรือหลายชนิดก็ได้ โดยนำมาหมักแล้วกลั่นให้มีดีกรีสูงขึ้น จากนั้นนำไปเก็บบ่มในถังไม้โอ๊ก เพื่อให้ได้สี กลิ่น รสที่ดีขึ้น แต่ก่อนจะนำมาบรรจุขวด บางชนิดยังนำไปปรุงแต่ง สี กลิ่น รสอีกครั้ง เพื่อให้ได้มาตรฐานตามความนิยมของผู้บริโภค 
วิสกี้ ที่นิยมาก นอกจากวิสกี้ของท้องถิ่นแล้ว วิสกี้จากต่างประเทศที่นิยมกันมากก็มี Scotch Whisky, Irish Whisky, American Whisky, Canadian Whisky ซึ่งจะมีเอกลักษณ์ในด้าน กลิ่น และรสชาติที่แตกต่างกันออกไป 

ไวน์ (Wine) 
ไวน์ หรือที่เรียกว่าเหล้าองุ่น ที่เป็นที่นิยมกันแพร่หลาย แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ 
1. Table Wine หรือ Still Wine คือไวน์ที่หมักจากองุ่น โดยไม่ต้องเพิ่มเติมสิ่งหนึ่งสิ่งใดลงไป ไม่มีแก๊ส ดีกรีที่นิยม 10o-13o นิยมดื่มในทุกโอกาส แต่ส่วนใหญ่ดื่มประกอบอาหาร เพื่อเจริญอาหารและชูรสชาติของอาหาร มี 3 สี 
- ไวน์แดง (Red Wine) จะมีตั้งแต่สีแดงอ่อน ถึงแดงเข้ม ขึ้นอยู่กับชนิดขององุ่นที่นำมาหมักและระยะเวลาในการหมัก ส่วนใหญ่ไวน์แดงจะมีรสฝาด และให้มีรสหวานน้อยมาก เรียกว่า Dry นิยมดื่มโดยไม่แช่เย็น 
-ไวน์ ขาว (White Wine) จะมีตั้งแต่เหลืองซีดจนถึงเหลืองทอง ลักษณะโดยทั่วไปจะมีรสอ่อน กลิ่นน้อย ความหวานมีตั้งแต่หวานน้อยจนถึงหวานมาก ไม่มีรสฝาด นิยมดื่มโดยแช่เย็น 
- ไวน์สีชมพู (Rose Wine) จะมีสีตั้งแต่ชมพูอ่อนจนถึงเกือบแดง ไวน์สีชมพูจะมีลักษณะระหว่างไวน์ขาวกับไวน์แดง คือมีความฝาดเล็กน้อยและมีรสเปรี้ยวอมหวาน จึงเป็นที่นิยม เพราะดื่มง่าย นิยมแช่เย็นก่อนดื่ม 
2. Sparkling Wine คือไวน์ที่มีแก๊สจึงทำให้มีรสซ่ามีทั้งสีขาว ชมพูและแดง Sparkling Wine ใช้กรรมวิธีในการหมักไวน์ซ้ำเป็นครั้งที่สองภายในขวด และเก็บรักษาแก๊สนี้ไว้ จึงทำให้เกิดรสซ่า เป็นที่นิยมกันมาก จึงมีการจดลิขสิทธิ์ไว้ในชื่อ "Champagne" ของฝรั่งเศส ส่วนไวน์ที่ผลิตด้วยกรรมวิธีคล้ายคลึงกันจะใช้คำว่า Sparkling Wine 
แชมเปญนิยมดื่มเพื่อแสดงความยินดีต่อกัน เสิร์ฟโดยแช่เย็นจัด 
3. Fortified Wine คือไวน์ที่เพิ่มแอลกอฮอล์ให้สูงประมาณ 18o - 19o ดีกรี จะมีกลิ่น รส และแอลกอฮอล์มากกว่าไวน์ธรรมดา แช่เย็นเพียงเล็กน้อยก่อนดื่ม 
รัม (Rum) 
รัม เป็นเหล้าที่กลั่นจากอ้อยหรือกากน้ำตาล ผลิตมากตามหมู่เกาะฝั่งทะเลคาร์เบียนซึ่งปลูกอ้อยกันมาก แต่ก็มีผลิตจำหน่ายหลายประเทศ เช่น Puertorico, Jamaica, Barbados เป็นต้น Punch 
รัมแยกตามความนิยมเป็น 3 ชนิดด้วยกัน คือ 
1. รัมสีขาว (White Rum) เป็นรัมที่มีสีใส บางชนิดไม่ต้องเก็บบ่ม บางชนิดต้องเก็บบ่มในถังไม้เพื่อให้กลิ่นรสดีขึ้น บางครั้งเรียกว่า Silver Rum เหมาะสำหรับนำไปผสมค็อกเทลที่ไม่ต้องการให้สีเปลี่ยน 
2. รัมสีทอง (Gold Rum) เป็นรัมที่มีสีเหลืองใส ได้จากการเก็บบ่มไว้ในถังไม้เพื่อให้เกิดสี หรือผสมสี กลิ่น รสชาติ ด้วยคาราเมล (Caramel) ที่ได้จากการเคี่ยวน้ำตาล เป็นสีเหลืองทอง เพื่อให้ได้เหล้ารัมที่มีกลิ่น สี รสชาติมากขึ้นกว่าเดิม 
3. รัมสีดำ (Dark Rum) เป็นรัมที่มีสีเกือบดำ ได้จากการเก็บบ่มไว้ในถังไม้เพื่อให้เกิดสี และผสมกับคาราเมลที่ได้จากการเคี่ยวน้ำตาลจนเป็นสีดำเกือบไหม้ จะได้กลิ่นและรสชาติมากขึ้น 
เห ล้ารัมนิยมนำไปผสมเป็นค็อกเทลมาก ที่รู้จักกันมากคือ Rum Coke หรือ Cuba Libre นอกจากนี้ยังนำไปผสมกับเครื่องดื่มชนิดอื่น ๆ เช่น น้ำผลไม้ต่าง ๆ โดยเฉพาะที่เรียกว่า Punch จะเป็นเครื่องดื่มที่เข้ากันได้ดีมากกับรัม 
เห ล้ารัมที่จำหน่ายจะมีดีกรีราว 40 ดีกรี แต่มีหลายชนิดผลิตให้มีดีกรีสูงมากถึง 75.5 ดีกรี หรือที่เขียนว่า 151 Proof เพื่อให้เครื่องดื่มผสมมีความแรงเพิ่มขึ้น

วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ดืมให้มีความสุขกับเรื่่องเหล้า

เหล้าเทอกีล่า (Tequila) เทอกีล่าเป็นเหล้าที่กลั่นจากต้นกระบองเพชรอากาวี่ (Agave) ในประเทศเม๊กซิโก หลายๆท่านน่าจะต้องผ่านการชิมเทอกีล่ามาแล้วบ้างไม่มากก็น้อย ท่านคงยังจำได้ว่าเทอกีล่านั้นจะมีรสชาติและกลิ่นที่รุนแรง บาดคอหน้าดู เวลาดื่มเพียวๆจะร้อนซู่ซ่าไปตลอดช่องทางเดินอาหาร
คุณภาพของเทอกีล่านั้นต้องดูกันที่สีนะครับ แบบธรรมดาที่สุดก็คือ พวกที่มีสีใสแจ๋ว ผลิตเสร็จก็บรรจุลงขวดเลย ไม่มีการบ่มในถัง Oak เราเรียกพวกนี้ว่า Silver หรือหากเป็น Gold ก็จะมีการแต่งรสด้วยคาราเมลทำให้ดื่มง่ายขึ้น กลุ่มนี้มีอีกชื่อหนึ่งว่า Blanca เป็นภาษาสเปนที่แปลว่าสีขาว ดีขึ้นมาอีกหน่อยคือกลุ่ม Reposado (อ่านว่าเรโปซาโด) คือ มีการบ่มเทอกีล่าไว้ประมาณ 2 เดือน ถึง 1 ปี ก่อนบรรจุลงขวด จึงมีสีน้ำตาลหรือเหลืองอ่อนๆ กลุ่มสุดท้ายซึ่งดีที่สุดก็คือกลุ่ม Anejo (อ่านว่าอาเนโค่) ซึ่งต้องบ่มไว้อย่างน้อย 1 ปี จึงทำให้มีสีน้ำตาลเข้ม เทอกีล่าที่รสชาติดีที่สุดจะบ่มไว้ถึง 5 ปีเลยทีเดียว
สูตรการทำ Martini ก็ไม่ยากอะไร มีส่วนผสมหลักคือเหล้าจินและเหล้าหวานชื่อ Vermouth (อ่านว่าเวอร์มูธ) เวลาเสิร์ฟเรามักจะใส่ผลมะกอก (Olive) ลงไปในแก้วเพื่อไปเสริมรสชาติ หรือหากเราใส่น้ำหมักมะกอก (Olive Brine) เพิ่มลงไปอีก ให้เรียกว่าเป็น Dirty Martini ครับ ส่วน Dry Martini จะหมายถึง Martini แบบเพียวๆ คือใส่ Vermouth ลงไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
โดยปกติจะดื่มกันเพียวๆโดยใส่ในแก้ว Shot การดื่มเทอกีล่าแบบที่เป็นที่นิยมนั้น ผู้ดื่มจะต้องเลียเกลือระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้เสียก่อน เสร็จแล้วจึงค่อยซดเทอกีล่าลงคอ จากนั้นก็ให้บีบน้ำมะนาวตาม เท่านี้ก็คงพอจะช่วยดับความร้อนแรงของดื่มเทอกีล่าลงได้บ้าง
นอกจากจะดื่มกันแบบเพียวๆแล้ว เทอกีล่าก็ใช้เป็นส่วนผสมสำคัญในค็อกเทลที่มีชื่อว่ามาการิต้(Margarita) ซึ่งมีลักษณะคล้ายน้ำมะนาวบ้านเรา แต่มีส่วนผสมของเหล้าหวานชื่อ Triple Sec และ Cointreau ด้วย มาการิต้าสามารถเสิร์ฟได้ทั้งแบบ on the rocks หรือ frozen ก็ได้ เหมาะกับการดริ้งค์ในช่วงฤดูร้อนเป็นอย่างยิ่งครับนอกจากว๊อดก้าจะเหมาะกับการดื่มแบบ straight up แล้ว ยังสามารถนำไปผสมทำค็อกเทลได้มากมาย เช่น สกรูไดร์เวอร์ (Screwdriver เป็นส่วนผสมระหว่างน้ำส้มกับว๊อดก้า), คอสโม่ (Cosmo), กามิกาเซ่ (Kamikaze) หรือในปัจจบันก็มีการนำไปทำมาร์ทีนี่แทนจินเพราะจะดื่มง่ายกว่า

 Whiskey
 มาถึงเหล้าประเภทสุดท้ายที่ได้รับความนิยมมากที่สุดตลอดกาลก็คือ วิสกี้ (Whisky) วิสกี้เป็นเหล้าที่ทำมาจากข้าวต่างๆ เช่น ข้าวสาลี ข้าวบาร์เล่ย์ ข้าวโพด ข้าวไรน์ เป้นต้น รสชาติหอมนุ่ม ดีกรี ประมาณ 35-45% มีผลิตในหลายประเทศ
         หลักๆจะแบ่งเป็น 4 กลุ่มใหญ่ๆ คือ วิสกี้จากสก็อตแลนด์ (Scotch Whisky) ซึ่งเป็นสกี้ที่ดีที่สุดในโลก

วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ไวน์ไทยและทั่วโลก

ว่ากันว่า ไวน์ทั้งโลก กะคร่าว ๆ น่าจะมีอยู่กว่าครึ่งแสนยี่ห้อ แยกตามสายพันธุ์องุ่นก็จะมีอยู่ที่หลายร้อยสาย แบ่งตามประเทศผู้ผลิตคงมีกันอยู่สักครึ่งร้อย จำแนกแยกออกเป็นสไตล์ก็มีอยู่ไม่เกินยี่สิบ ดูกันตามสีก็ได้อยู่ไม่เกินห้า แต่ถ้าว่ากันตรงความยิ่งใหญ่ที่ผูกพันกับเวลา ก็จะมีเพียงแค่สอง...เท่านั้น นั่นคือ ไวน์จากโลกเก่า-โลกใหม่
ชมตลาดไวน์
          ระหว่างพวกเราเพลิดเพลินฉลองปีใหม่กันอยู่ ผมก็ขออนุญาติเปลี่ยนบรรยากาศจากเรื่องหนัก ๆ มาเป็นเรื่องเบา ๆ เป็นการแบ่งปันความรู้ว่าด้วยเครื่องดื่มน้ำองุ่น ไวน์ แค่รู้พอเป็นไอเดียเท่านั้น มิได้มีปัญญาหาเงินซื้อมาดื่มหรือสะสมแต่อย่างใดไม่
ผมรู้จักไวน์ดังและแพงของฝรั่งเศสอยู่หลายยี่ห้อ
เริ่มต้นที่ไวน์ในกลุ่ม 5 อรหันต์อันประกอบด้วยชาโตมูตองรอธไชลด์ (Chateau Mouton Rothschild)
Chateau Mouton Rothschild
ชาโตลาฟิตรอธไชลด์(Chateau Lafite Rothschild)
   Chateau Lafite  Rothschild
ชาโตลาตูร์ (Chateau Latour)
 Chateau Latour 1982
ชาโตมาโกช์ (Chateau Margaux)
  Chateau Margaux 1982
และชาโตโอบริยอง(Chateau Haut Brion)
 Chateau Haut Brion 1982
          เหล่านี้เป็นโคตรไวน์มหาเศรษฐีผู้มีรสนิยมสะสมกันกว้างขวาง ปีทองของเขาได้แก่ 1982 โดยในกลุ่มนี้ ลาฟิต ยืนราคาสูงสุด จากข้อมูลอินเทอร์เน็ต ขวดละ 2,990 ยูโร คูณด้วย 49 ก็ประมาณ 146,000 บาทยังไม่รวมภาษี
ขณะที่มูตองปีเดียวกันราคา 1,570 ยูโร หรือ 77,000 บาท น่าสังเกตว่าย้อนไปหลายปีก่อนราคามูตองสูงกว่าลาฟิตราว ๆ 20% แต่วันนี้ไม่ใช่แล้ว ส่วนลาตูร์ปีเดียวกันอยู่ที่ 2,100 ยูโรหรือ 102,900 บาท มาร์โกซ์อยู่ที่ 1,340 ยูโร หรือ 65,600 บาท และโอบริยองอยู่ที่ 999 ยูโร หรือ 49,000บาท
ไวน์ที่โคตรแพงจริง ๆ สำหรับปีทอง 1982 คือ เปตรุส (Petrus) 4,590 ยูโร หรือ 225,000 บาท อันนี้ต่อขวดนะครับไม่ใช่ต่อลัง
 Petrus 1982
          ปีทองของไวน์ฝรั่งเศสอีกปีก็ 2000 อย่างเปตรุสก็ 3,900 ยูโร (191,000 บาท) ขณะที่ลาฟิต 1,690 ยูโร (83,000 บาท) และ มูตอง 1,090 ยูโร (54,000 บาท)
ปี 2005 ก็เป็นปีเก่งของไวน์ฝรั่งเศสแถวบอร์กโดซ์ พอมเมอรอล เช่นเดียวกับปี 1995
ไวน์ในกลุ่มนี้อีกยี่ห้อที่มนุษย์เดินดินธรรมดาต้องอยู่ห่าง ๆ ได้แก่ เลอแปง (Le Pin) ของพอมเมอรอล ปีทองของไวน์ทางนี้ก็ปี 1990 ขวดละ 3,390 ยูโร หรือ 166,000บาท และปี 2005 ราคาเดียวกัน
Le Pin 1990
          ว่ามาทั้งหมดนั้นเป็นไวน์แดง เคยดื่มไวน์ขาวหรือที่เขาเรียกพิเศษว่าไวน์หวาน ยี่ห้อ ดีเคี่ยม(d’Yquem) นัยว่าผลิตจากองุ่นสุกที่จวนเจียนจะเน่าของปี 2005 ราคา 659 ยูโร (32,000 บาท)
Chateau d, yquem 2005
          แต่ไวน์ที่โคตรแพงจริง ๆ เป็นไวน์เบอกันดี ยี่ห้อโรมาเน่-กองติ (Romanee-Conti)
Most expensive wine Romanee-Conti
          อันนี้เป็นไวน์โปรดของอดีตนายกฯ ประเทศไทยท่านหนึ่ง เคยนำไปมอบให้กับอดีตนายกฯ ประเทศไทยอีกท่านหนึ่ง บังเอิญอดีตนายกฯ ผู้นี้ไม่ค่อยรู้เรื่องไวน์ จึงถูกอดีตรัฐมนตรีท่านหนึ่งมาตลกบริโภคเรียบวุธ
ปีทองของยอดไวน์แห่งเบอกันดีคือ 1985 ราคาขายไม่รวมภาษี 10,990 ยูโร หรือ 538,000 บาท ก็ซื้อรถยนต์ขนาดกลางได้หนึ่งคันสบาย ๆ โรมาเน่กองติปี 1990 ก็ใช่ย่อย ขวดละ 9,900 ยูโร หรือ 485,000 บาท จะว่าไปไวน์ขานี้โคตรแพงทุกปี เพราะของมีน้อยและคุณภาพคับขวด อย่างปี 2003 ก็ยังขายที่ 7,990 ยูโร ก็ปาเข้าไปตั้ง 392,000 บาท
เล่าให้ฟังอีกว่า อดีตนายกฯ ของประเทศไทยที่ผมเอ่ยถึงก่อนหน้านี้ เคยซื้อตุนไว้หลายลัง
ไวน์เป็นเครื่องดื่มแปลก ที่ว่ามาจัดเป็นยอดไวน์เป็นโคตรไวน์ ขณะที่ไวน์ราคาถูก ๆ ก็เยอะมาก ขวดละเป็นพันบาทลงมาถึงไม่กี่ร้อยบาท


วันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เหล้าต่างๆ

[beer.jpg]
Vielle Bon Secours เป็น เบียร์ แพงที่สุดในโลก ด้วยราคาขวดละประมาณ 35,000 บาทต่อขวด ( 1,000 เหรียญยูเอส ) แต่คุณไม่สามารถหาดื่มได้ทั่วไป คุณสามารถหาดื่มได้เพียงแห่งเดียวในโลก ที่บาร์ Bierdrome กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เท่านั้น
เหล้า มนุษย์ค้นพบน้ำเมาจากผลของการหมัก ย้อนไปได้ถึงสมัยบาบิโลนและอียิปต์ที่พบว่าถ้าเอาผลองุ่นมาบีบให้แตกแล้ว หมักกับข้าวที่ทำให้ชื้นจะได้น้ำที่มีฟองเล็กน้อย ดื่มแล้วรู้สึกครึ้มอกครึ้มใจ ส่วนในแง่วิทยาศาสตร์ หลุยส์ ปาสเตอร์ พบเชื้อราชนิดที่เรียกว่ายีสต์ เป็นสิ่งมีชีวิต และใช้น้ำตาลที่ได้จากการย่อยแป้งเป็นอาหาร แล้วถ่ายเอาของเสียออกมา ซึ่งก็คือแอลกอฮอล์และคาร์บอนไดออกไซด์สุรา หรือ เหล้า คือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ (ชนิดเอทิลแอลกอฮอล์) เป็นส่วนประกอบที่สำคัญ โดยแอลกอฮอล์มีฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง ผู้ที่กินเหล้าในปริมาณไม่มาก จะรู้สึกผ่อนคลาย เนื่องจากแอลกอฮอล์ไปกดจิตใต้สำนึกที่คอยควบคุมตนเอง ทำให้กล้าแสดงออกมากขึ้น แต่เมื่อกินมากขึ้นก็จะกดสมองบริเวณอื่นๆ ทำให้เสียการทรงตัว พูดไม่ชัด จนแม้กระทั่งหมดสติในที่สุด
ชนิดของเหล้าที่ควรรู้ ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลากหลายชนิด โดยแยกตามที่มาและวิธีการผลิตดังนี้ครับ

ตากีลา (Tequila)   

    ตากีลา เป็นเหล้าสีขาว กลิ่นแรง หมักจากพืชที่เรียกว่า Mezcal ผลิตในประเทศเม็กซิโก ปกติตากีลาจะมีสีขาว แต่บางชนิดมีสีเหลืองทองจากการเก็บบ่มในถังไม้ ปกติชาวพื้นเมืองเม็กซิโก นิยมดื่มเหล้าตากีลาโดยไม่ผสม หากแต่ก่อนดื่มจะหยิบเกลือใส่ปาก บีบมะนาวตาม แล้วจึงยกเหล้า ขึ้นดื่ม เพื่อให้รสชาติของเหล้าคลุกเคล้ากับเกลือและมะนาวในปาก ในปัจจุบันนิยมนำตากีลามาทำเครื่องดื่มผสม เช่น Tequila Sunrise, Margarita เป็นต้น
   เหล้าตากีลาที่รู้จักกันดีในประเทศไทยก็จะมี Olmeca, Cuervo, Sauza ครับ

วอดก้า (Vodka)   

    วอดก้า เป็นเหล้าสีขาวใส มีกลิ่นเพียงเล็กน้อยจนแทบไม่รู้สึก ดีกรี 40-50 ต้นกำเนิดอยู่ในรัสเซียและโปรแลนด์ สมัยก่อนไม่เป็นที่รู้จัก แต่ในปัจจุบันเป็นเหล้าที่นิยมกันมากครับ เป็นเหล้าที่หมักจากข้าวหรือมันฝรั่ง ผ่านการกรองและดูดกลิ่นจนเหลือสีเจือปนและกลิ่นน้อยที่สุด
   คำโฆษณาที่ว่า " It will leave you breathless " คือเมื่อดื่มวอดก้าแล้วจะไม่มีกลิ่นติดค้างเมื่อหายใจ เครื่องดื่มผสมวอดก้าที่เป็นที่รู้จักก็มี Screw Driver, Bloody Mary, Vodka Martini เป็นต้นครับ
   ส่วนเหล้าวอดก้าที่รู้จักกันดีในประเทศไทยก็มี Larios, Wyborowa, Borzoi , Stolighinaya

จิน (Gin)   

    จิน เป็นเหล้าสีขาว มีกลิ่นหอมของผลจูนิเปอร์ ทำมาจากการกลั่นข้าวและผสมกลิ่นรสชาติของสมุนไพร และผลจูนิเปอร์ เป็นที่นิยมกันมากในฮอลันดา ปัจจุบันผลิตกันในหลายๆประเทศ กลิ่นและรสชาติก็แตกต่างกันไป เพราะมีการเปลี่ยนแปลงทั้งวิธีการผลิตและส่วนผสม
   จินที่ผลิตจากประเทศฮอลันดา รสจะเข้มข้นมาก นิยมดื่มโดยไม่ผสม แต่ควรแช่ให้เย็นจัด จินจากอังกฤษและอเมริกา นิยมดื่มเป็นเครื่องดื่มผสม ที่รู้จักกันแพร่หลายเช่น Gin Tonic, Tom Collins, Martini
   ส่วนจินที่รู้จักกันในประเทศไทย เช่น Beefeater, Gordon,Gilbey's ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้คำว่า London Dry Gin

บรั่นดี

แต่กับบรั่นดีกลับเป็นเครื่องดื่มชนิดที่ดอสโตเยฟสกีนำมาตั้งเป็นชื่อบท ตอนหนึ่งของคารามาซอฟ ที่มีชื่อว่า ‘เหนือบรั่นดี’ ที่ฟีโอดอร์ พาโลวิชเปรมปรีดิ์กับการดื่มบรั่นดีมากจนเกินงาม  อย่างในตอนหนึ่งที่อเล็กไซลูกชายคนเล็กของคารามาซอฟเดินเข้ามาในห้องของ ดิมิตรีแล้วมองเห็นขวดบรั่นดีและแก้วไวน์วางอยู่บนโต๊ะ คืนก่อนหน้าการฆาตกรรม ดิมิตรีก็พูดขึ้นมาว่า “บรั่นดีนั่น (…) พี่รู้นะว่าแกมองมันยังไง ‘ไอ้หมอนี่ดื่มเหล้าอีกแล้ว’ (…) แต่พี่ไม่ได้ดื่ม พี่กำลัง ‘จมปลัก’ แบบเดียวกับหมู”
ดิมิตรีไม่ได้ดื่มวอดกา ไม่ได้ดื่มเครื่องดื่มเหล้าที่เป็นเครื่องหมายของความเป็นรัสเซียเหมือน อย่างที่เราคาดคิด หากเป็นเครื่องดื่มประจำภาคพื้นยุโรป หรือว่าไปแล้วก็เป็นการเมาด้วยเครื่องดื่มที่เป็นฝรั่งเศสมากๆ
เช่นในอีกฉากหนึ่งที่อเล็กไซคนเดิมเดินเข้ามาในห้องที่มีอิวานพี่คนรอง นั่งจิบกาแฟ และพ่อฟีโอดอร์ พาฟโลวิชนั่งรับประทานของหวานกับเหล้าบรั่นดี ฟีโอดอร์ พาฟโลวิชพูดกับอเล็กไซว่า “มานั่งดื่มด้วยกันสิ ถึงจะเป็นกาแฟสำหรับมื้อกลางวัน แต่มันก็ร้อนและรสชาติดี พ่อคงไม่ให้แก่ดื่มบรั่นดี เพราะแกถือศีล แต่ถ้าแกอย่างจะดื่มละก็? มีเหล้าชนิดอื่นที่ขึ้นชื่อของเราด้วยนะ”
‘เหล้าอื่นที่ขึ้นชื่อของเรา’ หมายถึงวอดกาใช่หรือไม่ ? หากทำไมดอสโตเยฟสกีจึงละเว้นที่จะกล่าวถึง เราอาจวิเคราะห์ไปได้ด้วยเช่นกันว่า วอดกาเป็นเหล้าของชาวนาหรือชนชั้นแรงงาน ถึงมันจะเป็นเหล้าเหมือนๆ กันแต่มันก็สร้างภาพพจน์หรือให้อรรถาธิบายเกี่ยวกับตัวผู้ดื่มแตกต่างกัน
ซึ่งคงไม่ผิดนักหากจะพูดว่า ‘บรั่นดี’ คือความเป็นฝรั่งเศส (หรือศูนย์กลางของยุโรปตะวันตก) ในรัสเซีย เหมือนเช่นที่ดอสโตเยฟสกีมักจะแสดงให้เห็นว่าศัพท์แสงในภาษารัสเซียมากมาย เป็นคำที่หยิบยืมมาจากภาษาฝรั่งเศสแทบทั้งสิ้น
แต่หากถ้าเรามองในอีกแง่หนึ่ง ‘บรั่นดี’ ที่เป็นเครื่องดื่มที่ปรากฏอยู่ในหลายฉากหลายตอนแท้จริงแล้วก็คือสัญลักษณ์ ของตัณหาและราคะที่ซึมซาบอยู่ในตระกูลคารามาซอฟ และการดื่มกินบรั่นดีของดีมิตรี หรือแม้แต่อีวานในตอนหลังก็คือการร่วมสานต่อความสัมพันธ์ของไฟราคะทางสาย เลือดที่มีอยู่อย่างเข้มขันในตัวของฟีโอดอร์ พาฟโลวิช คารามาซอฟ
ที่น่าคิดอีกเรื่องหนึ่งก็คือ รากศัพท์ของคำว่า บรั่นดี หรือ brandy มาจากคำในภาษาดัชท์คำว่า brandewijn ซึ่งแปลว่า ‘ไวน์ที่กำลังไหม้’ ซึ่งดอสโตเยฟสกีคงใช้เครื่องดื่มชนิดนี้เพื่อสื่อถึงภาวะของดังกล่าวด้วย ความจงใจ

อัพเดตโดย : กองบรรณาธิการ
คุณภาพของบรั่นดี นั่นก็จะขึ้นอยู่กับคุณภาพของเหล้าองุ่นที่ นำมากลั่นนั่นเองค่ะ เนื่องด้วยกรรมวิธีที่ใช้ในการกลั่น และที่สำคัญที่สุดนั่นก็คือ การเลือกชนิดไม้ที่จะใช้ทำถังที่ใช้หมักหรือบ่ม เพื่อที่จะเก็บบ่มบรั่นดี และหลังจากกลั่นแล้ว ซึ่งในการเก็บและบ่มสุราไว้ในถังไม้ที่เหมาะสมและที่เป็นเวลานานปีนั้น ก็จะเป็นการทำลายสารพิษต่างๆ อย่างเช่น fusel oils ซึ่งก็จะเกิดขึ้นในระหว่างกรรมวิธีในการผลิตและเจือปนอยู่ในสุราให้หมดไปอีก เช่นเดียวกันด้วย
บรั่นดีที่นิยมกันว่าเป็นชนิดที่ดีที่สุด คือ บรั่นดีที่มีการผลิตมาจากเมืองคอนยัก และเมืองอาร์มายัง ประเทศฝรั่งเศส และได้เรียกชื่อบรั่นดีนี้ตามชื่อเมือง บรั่นดีทั้ง 2 ชนิด และซึ่งผู้ผลิตจะเก็บบ่มไว้ในถังไม้โอ๊กและซึ่งจะมีการเก็บไว้เป็นเวลาหลายๆ ปี เพราะจะส่งผลให้สารแทนนินส์ ที่มีอยู่ในเนื้อไม้นั้น ซึ่งจะละลายลงไปในบรั่นดี และจะทำให้มีสีเหลืองอำพัน นอกจากนั้นยังจะทำให้มีกลิ่นหอม สำหรับบรั่นดีที่มีคุณภาพต่ำนั้น ผู้ผลิตอาจจะเติมสารคาโรเมล ลงไปเพื่อที่จะทำให้บรั่นดีมีสีเหลือง และเติมวานิลลาลงไปเพื่อที่จะเป็นการปรุงกลิ่น สำหรับบรั่นดีที่เก็บและบ่มไว้ในถังไม้โอ๊ก ซึ่งการฉาบผิวด้วยขี้ผึ้งพาราฟิน หรือเก็บและบ่มไว้ในภาชนะดินเผาจะมีลักษณะใสและนอกจากนั้นยังไม่มีสีอีกด้วยค่ะ
บรั่นดีและสุราชนิดอื่นๆ นั้นเมื่อมีการบรรจุขวดแล้ว ไม่ว่าจะเก็บไว้นานแค่ไหน ก็จะไม่มีผลที่จะทำให้คุณภาพดีขึ้นไปกว่าก่อนที่จะบรรจุขวด
ขอขอบคุณบทความดีดีจาก lib.ru.ac.th
ผมร่วงเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ความเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ กรรมพันธุ์หรือการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน สำหรับคนที่ผมร่วงไม่มาก อาจลองใช้สูตรหมักผมแบบออแกนิคในการแก้ปัญหา

สูตรนี้ใช้บรั่นดีเป็น ส่วนประกอบ เพราะจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตบริเวณรากผม แต่บรั่นดีมีแอลกอฮอล์ทำให้ผมแห้งจึงต้องเพิ่มความชุ่มชื้นด้วยไข่และน้ำมัน มะกอก สามารถใช้บรั่นดีชนิดใดก็ได้ แต่บรั่นดีที่คุณภาพต่ำเกินไปจะเปรี้ยวและทำให้ไข่เป็นข้นแข็ง จึงควรใช้บรั่นดีที่คุณภาพดีสักหน่อย แต่อาจเลือกขวดเล็กๆ ที่ราคาไม่สูง

ส่วนผสมได้แก่ ไข่แดง 2 ฟอง น้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้งและบรั่นดีอย่างละ 2 ช้อนโต๊ะ

วิธี ทำ ให้คนส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกัน ลูบไล้ให้ทั่วผมเปียก คลุมทับด้วยผ้าขนหนูแห้งและใช้พลาสติคคลุมอีกชั้นเพื่อเก็บความร้อนบนหนัง ศีรษะ หมักทิ้งไว้ 30 นาทีขึ้นไปแต่ไม่ควรเกิน 2 ชั่วโมง จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาดและปล่อยให้แห้งโดยไม่ต้องใช้ไดร์เป่าผม

ทำอาทิตย์ละครั้ง จะช่วยเร่งให้ผมขึ้นเร็วขึ้นและลดการหลุดร่วงของเส้นผมได้.





ขอบคุณที่มาจาก เดลินิวส์ออนไลน์

ไวน์ต่างๆ

ไวน์(wine) หรือเหล้าองุ่น เป็นเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เป็นผลิตผลมาจากการนำเอาองุ่นไปบด หมักและบ่ม เกิดเป็นน้ำองุ่นสีแดง สีชมพู สีขาว ที่มีแอลกอฮอล์เจือปนอยู่ด้วย เราเรียกน้ำองุ่นเหล่านี้ว่าไวน์แดง [red wine] ไวน์สีชมพู [rose' wine หรือ pink wine] และไวน์ขาว [white wine] โดยมีองค์ประกอบหลักเป็น ethyl alcohol น้ำตาล แร่ธาตุ วิตามิน สารเคมีจำพวก polyphenols , aldehydes , ketones และกรดอินทรีย์อีกมากมาย


มีการแบ่งแยกไวน์ออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆคือ
1. Still wine เป็นไวน์ที่มีผู้นิยมดื่มกันมากที่สุด มีแอลกอฮอล์ที่เกิดขึ้นเองในระหว่างการหมักประมาณ 8-14% vol
2. Fortified wine เป็น Still wine ที่นำมาปรุงแต่งโดยเอาบรั่นดีหรือว้อดก้าผสมลงไปก่อนที่จะทำการบรรจุขวด มีแอลกอฮอล์ประมาณ 18-24% vol
fortified wine ที่ปรุงแต่งด้วยเครื่องเทศ สมุนไพร เปลือกไม้ รากไม้ ในระหว่างการผลิตจะเรียกว่า aperitif wine หรือ aromatized wine ใช้เป็นเครื่องดื่มก่อนรับประทานอาหาร ที่รู้จักกันดีคือไวน์ vermouth
fortified wine ที่ไม่ปรุงแต่งด้วยเครื่องเทศแต่มีความหวาน ใช้ดื่มกับของหวานและผลไม้ จะเรียกว่า dessert wine เช่นไวน์ Sherry และไวน์ Port
3. Sparkling wine เป็นไวน์ที่มีก๊าซ carbon dioxide เพราะมีกระบวนการผลิตที่แตกต่างจาก Still wine คือจะมีการหมัก 2 ครั้ง นิยมดื่มฉลองในโอกาสสำคัญ ที่รู้จักกันดีคือ Champagne
ไวน์แดง เสิร์ฟตามอุณหภูมิห้อง และไม่ควรอุ่นให้ร้อน เช่น การแช่ขวดลงในน้ำร้อน
ไวน์แดงรสเบา จะมีรสชาติดีที่สุดที่อุณหภูมิ 12-14 องศาเซลเซียส
ไวน์ แดงรสหนักควรเสิร์ฟที่อุณหภูมิห้องที่เย็นปานกลางระหว่าง 15-18 องศาเซลเซียส หมายเหตุ ข้อมูลอุณหภูมิของไวน์ จะอ้างอิงกับอากาศของต่างประเทศ ที่มีความหนาวเย็นกว่าบ้านเรา คำว่า “อุณหภูมิห้อง”

สำหรับต่างประเทศจะอยู่ที่อุณหภูมิเฉลี่ย 14-18 องศาเซลเซียส การเติมไวน์ในแก้ว
ไวน์ ขาว เป็นไวน์ที่มีการเปลี่ยนแปลงเร็ว จึงควรดื่มให้หมดแก้ว ก่อนแล้วจึงค่อยรินไวน์เติมลงไป ไวน์แดง มีการปรับตัวได้ง่ายกว่าไวน์ขาว จึงสามารถรินไวน์เติมได้ก่อนที่ไวน์ในแก้วนั้นจะหมด ไวน์ ไม่ควรผสมกันระหว่างไวน์แดงกับไวน์ขาว ต้องเปลี่ยนแก้ว เพราะจะทำให้รสชาติของไวน์ผิดเพี้ยนเป็นอย่างมาก

คณะ นักวิจัยจากสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (National Institutes of Health - NIH) ของประเทศสหรัฐอเมริกา บ่งชี้ว่า สาร resveratrol เป็นสารเคมีตามธรรมชาติ ซึ่งพบในไวน์แดง และผลิตภัณฑ์จากพืชต่างๆ อาจเกิดประโยชน์ต่อสุขภาพ นักวิจัยได้เสนอหลักฐานว่าสาร resveratrol ไม่ได้กระตุ้น sirtuin 1 โดยตรง (สาร sirtuin 1 คือ โปรตีนที่เกี่ยวข้องกับการเกิดริ้วรอย) แต่ในทางตรงกันข้ามผู้วิจัยพบว่า resveratrol ช่วยยับยั้งการ ทำงานของเอ็นไซม์ที่ชื่อว่า phosphodiesterase (PDEs) ซึ่งทำ หน้าที่ช่วยควบคุมการใช้พลังงานของเซลล์

การ ค้นพบนี้นำไปสู่ข้อถกเถียงเกี่ยวกับกระบวนการ ทางชีวเคมีของ resveratrol และเป็นการปูทางสำหรับการพัฒนา ทางยาที่ใช้ resveratrol เป็นส่วนประกอบ ซึ่งสารดังกล่าวเป็นที่ สนใจอย่างมากจากบริษัทยาสำหรับความเป็นไปได้ในการต่อสู้กับ โรคเบาหวาน การอักเสบ และโรคมะเร็ง การศึกษานี้ตีพิมพ์ อยู่ในนิตยสาร Cell ฉบับที่ 3 ของเดือนกุมภาพันธ์

ดร. Jay H. Chung หัวหน้าทีมวิจัยและเป็นหัวหน้าของ the Laboratory of Obesityand Aging Research ที่สถาบันหัวใจ ของ NIH กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่จะใช้ resveratrol เพื่อใช้ ในการรักษาโรคได้หลายชนิด ตัวอย่างเช่น โรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคความจำเสื่อม และโรคหัวใจ แต่อย่างไรก็ตามก่อนที่จะมีการ ศึกษาถึงความปลอดภัยและประสิทธิภาพของการนำไปผลิตยา จะต้องทราบว่าอะไรคือเป้าหมายของสารนี้ที่เกิดขึ้นภายในเซลล์ก่อน

มี การศึกษาก่อนหน้านี้ได้กล่าวว่าเป้าหมายหลักของสาร resveratrol ก็คือโปรตีน sirtuin 1 แต่จากผลการวิจัยของ ดร. Chung และคณะ พบว่าการทำงานของสาร resveratrol จะ ต้องทำงานร่วมกับโปรตีนตัวอื่นที่ชื่อว่า AMPK ด้วย ในกรณีนี้แสดง ให้เห็นว่าสาร resveratrol ไม่ได้ทำปฏิสัมพันธ์โดยตรงกับโปรตีน sirtuin 1